Low Data Mode ช่วยได้

สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ไม่ได้ใช้ Internet แบบ Unlimited

แนะนำให้เข้าไปตั้งเป็น Low Data Mode ช่วยให้ลดการใช้ Data ที่ไม่จำเป็นออกได้ครับ ทำตามนี้ 🧙‍♂️

ให้เข้าไปตั้งได้ที่ Setting > Cellular > เลื่อนลงมาเลือกเบอร์ที่ต้องการตั้ง > Data Mode

😊ถ้าใส่ซิมเดียวจะเป็นคำว่า Cellular Data Options ครับ

🚅ส่วนใครไปต่างประเทศ การตั้งเปิดพวก iCloud Photo ไว้จะทำให้ Data หมดไวมาก แนะนำปิดการใช้ Data จาก Cellular ชั่วคราวก่อนครับ เพราะ มัน Auto sync

สามารถ ตรวจสอบอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ จะทำให้เราใช้ Data ได้คุ้มค่าครับ

🙇‍♂️ส่วนเมนูอันบนสุด ก็ตัวเทพ : ใช้ 5G ก่อน WIFI ในการใช้งาน กระทบต่อ Battery ด้วยเพราะใช้งานหนัก เลือกใช้ให้เหมาะกับ การใช้งานเราครับ #mobilelife

iPhone สีเหลือง Yellow มะม่วง แมงโก้

iPhone 14 Yellow

ต้อนรับ ด้วยข่าวของ iPhone 14 สีใหม่ สีเหลืองสดใสครับ

เป็นปกติที่ทุกๆ 6 เดือนก่อน iPhone รุ่นใหม่ออกมาทาง Apple จะปล่อยสีใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายครับ

ส่วนตัว ผมว่า ถ้าเป็นตามนี้จริง ก็ค่อนข้างน่าสนใจครับ เพราะปกติจะออกแต่ สีม่วง (มันม่วง) สีเขียว (เหนี่ยวทรัพย์ )อะไรทำนองนี้

ทำไมต้องมี Website ไม่ไป Social ?

ส่วนตัวผม เชื่อในพลังของ Website มากกว่า Social เพราะอย่างน้อยคนที่แวะผ่านเข้ามา ก็ได้เห็นและได้ตั้งใจอ่าน สิ่งที่เราอยากนำเสนอครับ

ผมเองก็พยายาม ลดการใช้งานสื่ออย่างพวก Social ด้วย แต่ขอยกเว้น Twiiter ครับ

เพราะผมใช้ตามข่าวต่างประเทศ เยอะมาก ^^ สำหรับคนที่ชื่นชอบ iPhone , หนังสือ , การพัฒนาตัวเอง ผมหวังว่า จะได้ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์ครับ คุณสามารถ Follow Twitter ผมได้ที่ https://www.twitter/iamohhm หรือ facebook.com/El0nmusk เพื่อสอบถามปัญหา iPhone ได้เสมอครับ

ขอให้เป็นวันที่ดีครับ

LINE Ads Platform โฆษณาในไลน์

ตามที่จั่วหัวครับ ได้มีโอกาส โฆษณาสินค้าในไลน์  ลงในระบบของไลน์เลย

เอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ

เข้าใจง่ายกว่า Facebook เยอะ   โดยโฆษณาของเรา จะมีโอกาสโผล่ใน Timeline และ LINE Today

จริงๆมีอีกตำแหน่งแต่ผมจำไม่ได้    สำหรับตอนเปิดตัวสินค้า ตูมเดียวคนก็ทยอย Add Friend มาแล้ว

สอบถามหาสินค้า       คนไทยยังไงก็ใช้ LINE อยู่แล้ว  ไม่ลงโฆษณาใน LINE ก็ดูจะเสียโอกาสครับ

ผมเองเคยเห็น โฆษณาของ Apple ใน LINE  บ่อยๆ     แต่ไม่ค่อยเห็น โฆษณาใน Facebook

อันนี้ไม่ชัวร์นะครับว่าเพราะ Target รึเปล่า แต่ลองคิดเล่นๆ ระดับ Apple ยังมาลงโฆษณากับ LINE เค้าก็

คงเล็งเห็นข้อดีละมั้งครับ 555+

แนะนำให้ลองลงโฆษณาสัก 2-3 เดือน คุณก็รู้แล้วว่าเหมาะมั๊ยกับธุรกิจคุณ

 

Thank You 2018

andre-benz-1246153-unsplash

หลายบริษัท เริ่มหยุดกันแล้วครับ เพราะวันนี้ตรงกับ X-Mas พอดี ผมก็ตั้งใจให้ออฟฟิศหยุดตั้งแต่ 25 Dec ของทุกปี   ใครทำงานก็ให้ทำที่บ้าน และเน้น Auto มากขึ้น   จะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว ขอบคุณที่สู้ด้วยกันทั้งปี

เป็นอีกปี ที่มีอะไรท้าทายทุกเดือนครับ และสิ่งที่เรียนรู้มั่นใจว่าใช่ในปีนี้คือ เมื่อมีโอกาสให้ ททท

ทำ ทัน ที ครับ มันจะส่งผลเองในระยะยาว

หนังสือปีนี้อ่านได้มากขึ้น ไม่ตั้งเป้าหมายในการอ่านผิดแล้ว ^^

ได้เป็น LINE Agency Partner  และมีโอกาสดูแลลูกค้าใหม่

ขอบคุณทุกคนที่ผมเกี่ยวข้อง และขอโทษสำหรับสิ่งที่ผมทำร้ายไปทั้งเจตนาและไม่เจตนาครับ

จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ.

การเรียนรู้

มีโอกาสได้ไปแนะนำการใช้งานพวก Facebook Ads และ Google Ads รู้เลยว่าตัวเองยังอ่อนอะไรบ้าง

ผมว่าผมใกล้ชิดเทคนิคมากไป ทำให้ พวกค่าพื้นฐานเราละเลย  ช่วงนี้เลยกลับมาอ่านพื้นฐานอีกครั้ง ไล่ดูทุกวีดีโอการสอน  ทั้งไทยและต่างประเทศ เรียนซ้ำมันใหม่นี่ละ เอาพื้นฐานให้แน่น แบบก๊วยเจ๋งไปเลย

หวังว่า จะเป็นประโยชน์มากกว่านี้อีก ผมไม่มั่วสอน หรือ อายถ้าบอกไม่รู้นะ คือไม่รู้ก็คือไม่รู้ไง บางฟังก์ชั่นไม่เคยใช้ด้วย  เอาละไปเรียนรู้ซ้ำกันครับ

 

เจ็บจินตนาการ

Anontawong's Musings

20171109_imageindpain

วันนี้ที่บริษัทมีเจาะเลือดตรวจสุขภาพ จึงทำให้คิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ สมัยที่ยังกลัวเข็มเอามากๆ

ช่วงเรียนป.5 ผมต้องไปฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันตับอักเสบ B ซึ่งต้องฉีดทั้งหมดสามเข็ม ไปฉีดทีไรเป็นอันได้ร้องไห้ทุกครั้งเพราะมันเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ

พอขึ้นป.6 ผมมีอาการตาแดงเรื้อรังอยู่หลายสัปดาห์ ตรวจไปตรวจมาจึงพบว่าเป็นภูมิแพ้ วิธีรักษาคือต้องไปฉีดยาทุกสองสัปดาห์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเว้นช่วงเป็นเดือนละครั้งและสองเดือนครั้ง

ในช่วงเวลาปีเศษๆ ผมจึงโดนฉีดยาไปไม่ต่ำกว่า 20 เข็ม พอโดนบ่อยๆ เข้าผมก็เลยเลิกร้องไห้ไปโดยปริยาย

ความกลัวยังมีอยู่ทุกครั้งนะครับ แต่พอเริ่มได้ใกล้ชิดกับเข็ม จึงสังเกตเห็นว่า แม้โดนเข็มฉีดยาจะเจ็บก็จริง แต่ระดับความเจ็บและระยะเวลาที่เจ็บนั้นน้อยกว่าเดินเตะขาโต๊ะหรือโดนครูเอาไม้เรียวฟาดเป็นไหนๆ

บางคนอาจจะบอกว่า ยังไงเขาก็ยังยอมเจ็บจากการเดินเตะขาโต๊ะมากกว่าโดนเข็มฉีดยา

ผมเลยมีสมมติฐานว่า เหตุผลที่เรากลัวเข็มฉีดยามากกว่าขาโต๊ะ ก็เพราะว่าเข็มฉีดยานั้นเร้าจินตนาการเราได้มากกว่าขาโต๊ะ

ถ้าเขียนเป็นสูตร ก็น่าจะได้ประมาณนี้

ความเจ็บที่แท้จริง x จินตนาการ = ความเจ็บจินตนาการ

เตะขาโต๊ะ มีค่าความเจ็บที่แท้จริง 5 หน่วย แต่ขาโต๊ะไม่ได้เร้าจินตนาการอะไร เลยมีค่าแค่ 1 หน่วย

ความเจ็บจินตนาการจึงมีค่าเท่ากับ

5 x 1 = 5

โดนฉีดยา มีค่าความเจ็บที่แท้จริง 1 หน่วย แต่เข็มฉีดยาปลุกเร้าจินตนาการได้มากกว่าขาโต๊ะเป็น 10 เท่า ความเจ็บจินตนาการจึงมีค่าเท่ากับ

1 x 10 = 10

ความเจ็บของการโดนฉีดยาจึงมากกว่าเดินเตะขาโต๊ะ อย่างน้อยก็ในจินตนาการ

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากลดความเจ็บ ก็ต้องลดจินตนาการ

ในกรณีโดนฉีดยา วิธีลดจินตนาการที่หลายคนทำ คือดูเข็มฉีดยาวินาทีที่มันจิ้มลงตรงแขน

พอเห็นความเจ็บแบบตรงๆ แบบไม่มีจินตนาการมาเกี่ยวข้อง เราก็จะเข้าใจว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิด

ยังมีอีกหลายกรณีที่ความเจ็บในจินตนาการดูใหญ่โตเกินจริงเสมอ เช่นเจ็บจากการถูกปฏิเสธ เจ็บจากการถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด เจ็บจากความผิดพลาด

เรื่องเหล่านี้ ความเจ็บที่แท้จริงมีเพียงนิด แต่ถูกจินตนาการของเราขยายให้ใหญ่เว่อร์ๆ เป็นสิบเป็นร้อยเท่า

พอจินตนาการเยอะ ก็กลัวเยอะ พอกลัวเยอะ ก็เลยเดินหนี พอเดินหนีก็เลยเสียโอกาสไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

ลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่า เรากำลังกลัวเจ็บจากอะไรอยู่บ้าง

แล้วแยกให้ออกว่า ส่วนไหนคือเจ็บจริง และส่วนไหนคือเจ็บจินฯ ครับ

View original post

สมุดทั้งสาม

leave-2902470_1280

เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ คนเรามักจะไม่ค่อยได้จด โดยใช้ดินสอและปากกากันมากนัก เพราะต่างก็มีโทรศัพท์มือถือมาช่วยในการจดบันทึก  ผมเองก็เช่นกัน ยอมรับครับว่า จดน้อยลงเยอะ ลายมือนี่ไก่เขี่ยยังสวยกว่าเลย

แต่ในทุกวันก่อนนนอน ผมจะต้องจดลงสมุดประจำตัวสามเล่ม

เล่มที่หนึ่งคือ ไดอารี่ ที่จดและวาดภาพ ว่าในวันนี้ทำอะไรไปบ้าง

เล่มที่สอง จดความสำเร็จ ไม่ว่าจะเล็กจะน้อย จะงี่เง่า ถ้าผมทำสำเร็จผมก็จะจด

และสุดท้าย จดความคิด ไอเดีย ธุรกิจ วางแผนบริษัท

ยิ่งอ่านเยอะเราก็ยิ่งต้องรวบรวมให้ตกตะกอน และย่อยให้ได้ ผมเชื่อว่าคนเราอ่านเยอะ ก็ยิ่งควรเขียนเยอะ ระบายมันออกมาบ้าง สำหรับ เล่มที่สอง ที่จดความสำเร็จ เล่มนี้ผมใช้เวลาตัวเอง พลังหมดครับ

อ่านแล้วจะได้รู้ว่าตัวเองยังทำอะไรได้บ้าง

Credit รูปจาก Pixabay


 

Quotes

ปี 2007  ผมขับเคลื่อนตัวเองด้วยประโยคที่ว่า “การพัฒนาตัวเองของผมมันต้องไวกว่าความเร็วแสง”

วันหยุดไม่หยุด ไปทำงาน เก็บประสบการณ์ให้มาก เลิกงานเข้า Webboard ต่างประเทศ อ่านๆๆๆจำๆๆๆ เอาไปใช้ในงานให้มากที่สุด ส่งผลให้ด้านอาชีพจัดว่าดี ( ได้หัวหน้าที่เข้าใจและทีมที่ดีด้วยครับ)

ปี 2014  ออกจากที่เดิม ไปทำงานตัวเอง และงานประจำอยู่กับคำเหล่านี้ ” อาณาจักรใหญ่ไม่เคยอยู่นาน” เลยติดนิสัย ไม่ต้องเด่นไม่ต้องดัง ไม่ต้องบอกว่าเราเป็นใครทำอะไร ไม่ต้องฉายแสง ”  เกือบไม่รอด อาศัยลูกฮึดอย่างเดียว ความพอใจต่อตัวเอง น้อยลงเยอะ

ปี 2017  “ไม่มีอะไรที่นักศึกษาวิชาทหาร ทำไม่ได้ ทำไม่เสร็จ ทำไม่ทัน”  กำลัง ขับเคลื่อนผมให้ไปข้างหน้า

ถ้าอาณาจักรใหญ่อยู่ไม่นาน ช่างเค้า อาณาจักรของผมจะยั่งยืน สืบต่อไป  ขอเขียนถึงตัวเองในปัจจุบัน

เจาะจุดแข็ง 2.0 Strengthsfinder 2.0 มีอะไรใหม่

 

                                                                     strengths finder 2.0

 

เล่มนี้เคยมี Version ก่อนหน้ามาแล้วครับ  ใครที่อ่านและทำแบบทดสอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอีก อ้างอิงจากคำตอบในเล่มใหม่ครับ  เพียงแต่ใน Ver 2.0 นั้นเนื้อหาปรับปรุงให้ เข้าใจมากขึ้น และมีตัวอย่างเพิ่มครับ

ตัวผมเองได้ลองทำซ้ำดู ก็พบว่ามีเปลี่ยนแค่บางข้อเท่านั้น ซึ่งในหนังสือได้บอกไว้แล้วว่า อาจเป็น 1ใน พรสวรรค์ที่แบบทดสอบไม่ได้แสดงให้เห็น (ถ้าคุณอยากทราบมากกว่า 5 ข้อ ต้องซื้อเพิ่มครับ)  ครั้งแรกผมทดสอบเมื่อปี 2014

และอีกครั้งคือเมื่อวาน 22/08/2017 ส่วนตัวให้คะแนนที่ 90 จาก 100 ครับ เพราะทำให้มั่นใจ และเข้าใจตัวเองมากขึ้นจริง เอาเป็นว่าใครสนใจก็ไปซื้ออ่านกันได้ครับ เล่มแรกก็ได้ ราคาถูกกว่าเล่มใหม่ หรือจะไปทำแบบทดสอบที่ Website ก็ได้ครับ